♥♥••• W e l c o m e to tiger 02•••♥♥

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Conjunctions (page 91-92)







คำสันธาน หมายถึง คำศัพท์ที่ใช้เชื่อมคำ กลุ่มคำ หรือ ประโยค


(sentences) เข้าด้วยกัน โดยคำที่ใช้ conjunction เชื่อมนั้นจะเป็นคำชนิดเดียวกัน



หรือคำที่คล้ายกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้

andbutorthat
foralsostill else
becauseafterifthough
beforetillunlessas
whenwhere whilethan
sinceonly


เช่น

Ladda has a black and white cat at home.

ลัดดามีแมวสีขาวดำที่บ้านตัวหนึ่ง

Conjunction แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

1. Conjunction คำเดียว Single (Conjuncton)

2. Conjunction วลีหรือผสม (Conjunction Phrase)



1. Conjunction คำเดียวที่พบเห็นบ่อย ๆ และใช้กันแพร่หลายมีดังต่อไปนี้

and,or,but,so,as,because,for,whether,until,after,before,if,though,that,when, besides เช่น

He is sick so he goes to see a doctor.

เขาไม่สบาย ดังนั้นเขาจึงไปหาหมอ ฯลฯ เป็นต้น



2. Conjunction วลีหรือ conjunction ผสมที่พบเห็นบ่อย ๆ ได้แก่คำต่อไปนี้ คือ

either.....or ไม่อันใดก็อันหนึ่ง

neither.....nor ไม่ทั้งสอง

as well as เช่นเดียวกันกับ

not only.....but also ไม่เพียงแต่.....เท่านั้น

-แต่อีกด้วย ทั้งหมดจะได้อธิบายเป็นรายตัว ดังต่อไปนี้




Either...or แปลว่า ไม่อันใดก็อันหนึ่ง ใช้สำหรับให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นรูป เอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นต้องถือตามประธานตัวหลัง เช่น

Either you or he is punished tonight. ไม่คุณก็เขาถูกลงโทษคืนนี้



Neither...nor แปลว่า "ไม่ทั้งสอง" ใช้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ถ้าไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเอกพจน์หรือ

พหูพจน์นั้น ต้องถือตามประธานตัวหลังเช่นเดียวกัน เช่น

Neither her friends nor she speaks [[#|Chinese]]. ทั้งเพื่อนของเธอและเธอไม่พูดภาษาจีน
as well as แปลว่า "เช่นเดียวกันกับ" เมื่อไปควบประธาน 2 ตัว จะใช้กริยาเป็นพจน์อะไรนั้นสำหรับตัวนี้ต้องถือเอาตาม ประธานที่อยู่ข้างหน้า เช่น
as I is sick. เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย เป็นต้น




Not only...but also แปลว่า "ไม่เพียงแต่...เท่านั้น แต่ยัง อีกด้วย" เราใช้สันธานวลีคำนี้ เพื่อเน้นน้ำหนักของข้อความ

ทั้งสองอย่างให้เด่นชัดขึ้นแต่สิ่งที่นำมาให้ ใช้หรือกล่าวถึงนั้น ต้องมีความสามารถไปทางเดียวกัน เช่น ดีก็ดีด้วยกัน เช่น


Wichai is not only stupid but also lazy. วิชัยไม่ใช่เพียงแต่โง่เท่านั้น แต่ยังขี้เกียจอีกด้วย




ชนิดคำสันธาน (Types of Conjunctions) มี 3 ชนิด คือ


1. Coordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมคำในประโยคเนื้อความสำคัญเท่ากัน ทำให้ข้อความนั้นเกิดเป็น Compound Sentence คือ อเนกัตถประโยคทันที

2. Subordinating Conjunctions คำสันธานเชื่อมอนุประโยคกับประโยคมีเนื้อความสำคัญไม่เท่ากัน เพื่อแสดงเหตุผล วัตถุประสงค์ เงื่อนไข ฯลฯ
ทำให้ข้อความนั้นเป็น Complex Sentence ทันที
3. Corrective Conjunctions คำสันธานที่ใช้เชื่อมเป็นคู่ๆเพื่อเพิ่มความหรือเพื่อเลือกความหมายของประโยคให้สมบูรณ์



หน้าที่ของคำสันธาน
คำสันธานมีหน้าที่ 2 ประการ คือ เชื่อมคำกับคำ และเชื่อมประโยคกับประโยค

1. คำสันธานเชื่อมคำกับคำ หมายถึงคำสันธานที่เชื่อมคำกับคำเข้าด้วยกัน

เช่น คำนามกับคำนาม และคำกริยากับคำกริยา เช่น

- Can you sing or dance? ( คุณสามารถร้องเพลงหรือเต้นรำได้ไหม)

2. คำสันธานเชื่อมประโยคกับประโยค หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมประโยคกับประโยคเข้าด้วยกัน

เช่น - I've lived here since I was born. ( ฉันอยู่ที่นี่ตั้งแต่ผมเกิด)

- Joe was there, but Jane was not. ( โจอยู่ที่นี่แต่เจนไม่ได้อยู่ที่นี่ )



ประเภทของคำสันธาน
1. คำสันธานแบ่งตามหน้าที่

แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ คำสันธานเชื่อมประสาน และคำสันธาน เชื่อมประโยครอง

1). คำสันธานเชื่อมประสาน (Coordinate conjunction) หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมคำที่มีศักดิ์เท่ากัน

คำสันธานเชื่อมประสาน เช่น

and (แอนดฺ) และ, กับ or (ออ) หรือ

for (ฟอ) สำหรับ, เพื่อ but (บัท) แต่, นอกจาก

2) คำสันธานเชื่อมประโยครอง ( Subordinate clause ) หมายถึง คำสันธานที่เชื่อมอนุประโยครอง หรือ ให้เข้ากับอนุประโยคหลัก แบ่งตามหน้าที่ออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ อนุประโยครองคำนาม อนุประโยครองคุณศัพท์ และอนุประโยครองวิเศษณ์


2.1 อนุประโยครองคำนาม "Noun clause" เช่น
- They say that they will come again. ( พวกเขาพูดว่าพวกเขาจะมาอีก)

- The students hope that they will pass the exam. (นักเรียนหวังว่าพวกเขาจะสอบผ่าน)
2.2 อนุประโยครองคุณศัพท์ "Adjective clause" หมายถึง อนุประโยครองที่ทำหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ ข้างหน้า ซึ่งคำนามที่อยู่ข้างหน้าอาจเป็นประธานของประโยค เป็นกรรมของประโยค หรือเป็นส่วนเติม เต็มของกริยาก็ได้

- This is the book that you gave me last month. ( นี่คือหนังสือที่คุณให้ผมเดือนที่แล้ว )

- The cake that your mother made was very good. ( ขนมเค้กที่แม่ของคุณทำอร่อยมาก )

2.3 อนุประโยครองวิเศษณ์ "Adverb clause" หมายถึง อนุประโยครอง ที่ทำหน้าที่ขยายคำกริยาใน อนุประโยคหลักอีกที เช่น

- He left the room before you came in. (เขาได้ออกจากห้องก่อนคุณเข้ามา)

- I will wait for you until you return. (ฉันจะรอคุณจนกว่าคุณจะกลับมา)


Exercise A: Complete the sentences with appropriate conjunctions.

1. I will buy the book_because_____it is not expensive.

2. Wait till it stops raining_unless_____you will get wet.
3. Tina__and____Jen love animals.
4. I was working late in the night___so____I was sleepy.
5. I will not help_unless______he asks me to.
6. I played basketball every day__when_____I was young.
7. I called her up many times__but_____she did not answer.
8. My mother was very happy___when____ I told her I had won the prize.
9. The weather was awful___so_____we could not go out.
10. She cried__when_____she felt lonely.

B. Complete the sentences using conjunctions below.


          Although and because but or so

       unless until when since

1. You cannot be a teacher__although_____you have a teaching degree.

2. __Although_____my scooter is old, it still runs well.
3. Do you want a chocolate__or____vanilla ice cream?
4. The dog heard a sound___so____it started barking.
5. I would like to attend the concert__but_____not this week.
6. You will be late_unless___you leave immediately.
7. Tom_and__Maria were a team for the competition.
8. Let’s wait_______the rain stops.
9. She began to cry__because____she was very unhappy.
10. I have been waiting for the show to start__since_____9 o’clock’

C. Read the sentences and complete them with suitable endings.


1. I want to go to the party but I have a lot of homework.

2. I liked the film because it was interesting.
3. I saw him when he arrived.
4. We waited until the train arrived.
5. You will not succeed unless you work harder.
6. She was rude to me yet she talked to me.
7. Mrs Thomas will die unless the doctor come.
8. Do you know when the bus is arriving?
9. We were tired of her behaviour so she lived alone.
10. This is an expensive and valuable thing.


Prepositions (page 89-90)





Preposition (คำบุพบท) คือคำที่ใช้เชื่อม หรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น นามต่อนาม, กริยากับนาม, กริยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม
Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ
1.   Preposition   คำเดียว   [Single Preposition]
2.   Preposition    วลี      [Preposition Phrase]
Preposition   คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่  44  คำคือ  in,  on,  at,  under,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  near,  around,  inside,  outside,  beneath,  towards,  into,  till,  until,  from…to,  with,  without,  by,  up,  down,  after,  before,  beside,  besides,  against,  through,  across,  along,  above,  over,  behind,  below,  underneath,  during,  between,  among,  from…until,  within,  forward
 Preposition คำเดียว
การใช้ in,  at, on  บุพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้ 
in :     ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น 
I like  to  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.
at :   ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจงเช่น 
They want home at three o’clock.  พวกเขากลับบ้านเวลา15.00 น
on : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา เช่น  onSunday, on New Year’s Day, on King’s Birthday etc.
on time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี)เช่น He comes on time. เขามาตรงเวลาพอดี
in time แปลว่าทันเวลา (ก่อนเวลา,ก่อนกำหนด) เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา)                        
การใช้ at,  in บุพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้
at  :  ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัด แน่นอน เช่น  at  school,  at  the  hotel….
in  :  ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้ เช่น in the house, in a country เป็นต้น
การใช้  during, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้ 
               คำทั้ง  3  แปลว่า “ระหว่าง” แต่ใช้ต่างกันดังนี้
during: ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค เช่น  
During visiting Thailand, I had seen the Emerald  Buddha Temple. 
ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น 
between:  ใช้สำหรับคั่นระหว่างของสองอย่างหรือคนสองคน เช่น 
She’s standing between you and me. 
หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม (เมื่อใช้ between ต้องมี and ตามเสมอ)
among : ใช้สำหรับคั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น The teacher’s standing among us.    
การใช้  in,  on,  by  กับยานพาหนะ
in :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด  กำบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…
on :ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่งแจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น  on a horse, on a motorcycle..
by :ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี  article  นำหน้า  เช่น by  bus,    by  train …
การใช้  on,  over,  above  มีหลักดังนี้
on :ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง
over :ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี
above :ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ)
Preposition วลี
คือ บุพบทตั้งแต่ 2ตัวขึ้นไปรวมอยู่ด้วยกัน และมีความหมายเสมือนเป็นบุพบทคำเดียว แบ่งเป็น 2ชนิด คือ                         
1.บุพบทวลีชนิด 2 ตัว [two words preposition]
2.บุพบทวลีชนิด 3 ตัว [three words preposition]
บุพบทชนิด  2 ตัว ได้แก่บุพบทต่อไปนี้
according to (ตาม), instead of (แทน, แทนที่), because of (เพราะว่า), owing to (เนื่องจาก)
บุพบทชนิด 3 ตัวได้แก่บุพบท ต่อไปนี้
in order to เพื่อที่จะ,by means of (โดยอาศัย),on account of (เนื่องจาก), in spite of (ถึงแม้ว่า),in front of (ข้างหน้า), in back of ( ข้างหลัง), for the sake of (เพื่อเห็นแก่), of the point of (เกือบจะ),on the point of (เกือบจะ), in consequence of (เนื่องจากว่า) 
หมายเหตุ การใช้บุพบทนี้ยังมีกริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย เช่น belong to (เป็นของ), arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask….for (ขอ), agree with (เห็นด้วยตกลงด้วย),consist of (ประกอบด้วย), protect from (ป้องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็นอาหาร),make of (ทำด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว)  
การใช้คำบุพบทที่ใช้อยู่เป็นประจำในสำนวนอื่น ๆ เช่น
in all directions (ในทุกทิศทุกทาง) , in search of (ค้าหาเพื่อ), in reply to (ในการตอบ),in the end (ในท้ายที่สุด), in the open-air (ในกลางแจ้ง), in a hurry (ในขณะรีบ), in politics (ในทางการเมือง), in my opinion (ในความคิดเห็นของข้าพเจ้า), in fact (โดยแท้จริงแล้ว), in truth (โดยความจริงแล้ว), in good condition(อยู่ในสภาพดี), in good health (มีสุขภาพดี), in poor health(มีสุขภาพไม่ดี), in row(อยู่ในแถว), in the book (ในหนังสือ), in despair (ด้วยความผิดหวัง), in tears (ด้วยน้ำตา), in ruin (ในสภาพหักพัง), in debt (เป็นหนี้), in luxury (อย่างหรูหรา), in poverty (ในสภาพยากจน) etc
4.   การใช้ by (โดย)
คำบุพบท by นี้มีวิธีการใช้ในหลาย ๆ ความหมาย ดังนี้
4.1 ใช้ by กับกริยาที่เรียกหากรรม (Transitive Verb) ในประโยคกรรมวาจก (Passive Voice) เพื่อแสดงให้รู้ว่าใครหรืออะไรเป็นผู้กระทำกริยาอาการนั้น ๆ เช่น
He was attacked by a dog. (เขาถูกสุนัขโจมตี (ไล่กัด))
ในที่นี้จะเห็นว่าผู้ที่กระทำกริยาอาการคือการโจมตีนั้น คือสุนัข (a dog) ส่วนเขา (He) นั้นเป็นผู้ถูกกระทำ
4.2 ใช้ by เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ทำหรือ ยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง เช่น
You can travel by car/bus/train/boat/plane.(คุณสามารถเดินทางโดยรถยนต์/รถโดยสาร/รถไฟ/เรือ/เครื่องบิน)
You can book the tickets by phone. (คุณสามารถจองตั๋วทางโทรศัพท์)
4.3 ใช้ by เพื่อแสดงให้ทราบถึงหนทางที่ผ่านไป เช่น
He came in by the back door.(เขาเข้ามาทางประตูหลังบ้าน)
4.4 ใช้ by ในความหมายว่า อยู่ใกล้ ๆ หรือข้าง ๆ เช่น
He is standing by the window. (เขากำลังยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง)
4.5 ใช้ by ในความหมายว่า ผ่านไป เช่น
She passed by me without noticing me. (เธอเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้สังเกตเห็นผมเลย)
4.6 ใช้ by เพื่อแสดงถึงชื่อผู้ที่เขียนหนังสือ กำกับภาพยนตร์ หรือทำงานทางด้านศิลปะอื่น ๆ เช่น
This English Grammar Book is written by Dr.Thanapol.
(หนังสือไวยากรณ์อังกฤษเล่มนี้ เขียนโดยดร.ธนพล)
4.7 ใช้ by เกี่ยวกับเวลาในความหมายว่าใกล้ ๆ เวลานั้นหรือก่อนเวลานั้น เช่น
Try to be there by two o’clock. (พยายามไปให้ถึงที่นั่นประมาณบ่าย 2 โมง)
Please finish it by tomorrow. (โปรดทำให้เสร็จก่อนถึงพรุ่งนี้)
4.8 ใช้ by ในความหมายว่า ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเองทั้งหมด เช่น
I did it all by myself. (ผมทำมันทั้งหมดด้วยตัวของผมเองทั้งนั้น)
4.9 ใช้ by นำหน้ากลุ่มคำดังต่อไปนี้คือ
by my watch (ตามนาฬิกาของผม) , by the dozen  (เป็นโหล (ขาย)), by land (โดยทางบก) etc...
5.   การใช้ before (ก่อน)
ถ้านำ beforeมาใช้กับเวลา จะหมายถึงเวลาใดก็ได้ ไม่ได้กำหนดแน่ชัดลงไปแต่ต้องเกิดขึ้นก่อนถึงเวลาที่พูดถึง เช่น
He will be back before ten. (เขาจะกลับเข้ามาก่อนเวลา 10 นาฬิกา)
คำว่า “before” นี้เป็นการกำหนดคร่าวๆ คือจะมาเวลาไหนก็ได้แต่ต้องเป็นก่อน10 นาฬิกาก็เป็นอันว่าใช้ได้
before นี้โดยปกติแล้วจะใช้เกี่ยวกับเวลา แต่ก็นำไปใช้เกี่ยวกับสถานที่ได้เช่นเมื่อเอ่ยถึงลำดับที่ในรายชื่อหรือการเรียงแถว
เช่น  Your name comes before mine in the list. (ชื่อของคุณมาก่อนชื่อของผมในรายชื่อ)
6.  การใช้ after (หลังจาก)
คำว่า “after” เมื่อนำมาใช้เกี่ยวกับเวลาก็หมายถึงเวลาใดก็ได้ แต่ต้องเป็นหลังจากเวลาที่พูดถึง เช่น
We will leave after lunch. (พวกเราจะออกเดินทางหลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว)
7.  การใช้ till (until) (จนกระทั่ง)
คำว่า till และ until มีความหมายเหมือนกันและใช้แทนกันได้ และที่สำคัญคือทั้ง 2 คำนี้ เป็นได้ทั้งคำบุพบท (Preposition) และเป็นคำเชื่อม (Conjunction) ที่จะกล่าวถึงต่อไปจากนี้ด้วย ในที่นี้เป็นคำบุพบทแปลว่า “จนถึง/จนกระทั่ง” เช่น
We will keep it for you till (until) Monday. (พวกเราจะเก็บมันไว้ให้คุณจนถึงวันจันทร์)
ข้อสังเกต   ข้างหลัง till (until) นั้นเป็นคำนามคำเดียว คือ Monday ไม่ได้ตามด้วยประโยคจึงเป็นคำบุพบท
8.   การใช้ from…..to (จาก.....ถึง)
 คำบุพบท from ….to  ใช้ได้ทั้งกับเวลาและเกี่ยวกับสถานที่ เช่น
            ใช้กับเวลา  :       I usually work from nine to five.
                                    (โดยปกติผมจะทำงานจาก 9 นาฬิกาถึง 5 นาฬิกา)
            ใช้กับสถานที่  :   It is about 150 kilometres from Bangkok to Suphanburi Province.
                                    (ประมาณ 150 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯถึงจังหวัดสุพรรณบุรี)
9.   การใช้ during (ระหว่าง)
คำบุพบท during จะใช้กับระยะเวลาที่ต่อเนื่องกันและที่สำคัญคือหลัง during ต้องเป็นคำนาม (Noun) หรือวลี (Phrase) เท่านั้น เช่น
The sun gives us light during the day. (ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่างแกเราระหว่างเวลากลางวัน)
ข้อสังเกต
บางครั้งอาจใช้ duringและ inแทนกันได้ เมื่อต้องการพูดว่าบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น
We will be on holiday during (in) April. (พวกเราจะอยู่ในช่วงวันหยุดระหว่าง (ใน) เดือนเมษายน)
นิยมใช้ during เมื่อต้องการเน้นถึงช่วงตลอดระยะเวลานั้น เช่น
The company was closed during the whole of April. (บริษัททำการปิดในช่วงตลอดเดือนเมษายน)
เรานิยมใช้ during เมื่อต้องการบอกว่าบางสิ่งได้เกิดขึ้นในเวลาหนึ่งและมีการจบลงในเวลาหนึ่งแต่ไม่ใช่ช่วงระยะเวลา เช่น
I phoned him during the meeting. (ผมโทรถึงเขาในระหว่างการประชุม)
I met him during his stay in Bangkok. (ผมได้พบเขาในช่วงที่เขาพักอยู่ในกรุงเทพฯ)
สำนวนเกี่ยวกับ duringที่ใช้บ่อย เช่น duringmyabsence (ในระหว่างที่ผมไม่อยู่), duringthe concert (ระหว่างมีการแสดงนตรี), during the war (ระหว่างสงคราม), during the night (ระหว่างเวลากลางคืน), during breakfast (ระหว่างเวลาอาหารเช้า)
                             คำบุพบทและคำอื่น ๆ ที่นิยมใช้คู่กัน
คำคุณศัพท์ (Adjective) ที่ใช้คู่กับคำบุพบทที่พบบ่อย
absent from                 (ไม่มา)
adequate for                (เพียงพอสำหรับ)
afraid of                       (กลัว)
aware of                      (ระวัง)
appropriate for             (เหมาะสำหรับ)
capable of                   (สามารถในการ)
familiar with                  (คุ้นเคยกับ)
fond of                         (ชอบ)
friendly with                  (เป็นมิตรกับ)
free from                      (เป็นอิสระจาก)
satisfied with                (พอใจกับ)
pleased with                (พอใจกับ)

Exercise A: Complete these sentences with the right prepositions.
1. The shop is closed___on______ Sundays.

2. I looked for my lost bay_for___ two hours, but I could not find it.

3. The fair lasted__for_____ two weeks.

4. The noisy neighbours were playing music all__at___ the night.

5. I came home late_in__ the evening.

6. I am going to London__on_____Saturday.

7. It snows very little here__in_____ the winter.

8. I love going for walks___on____ a sunny day.

9. I have a meeting__at_____ 9 o’clock.

10. The World Cup will begin___in____ May this year.

11. I play tennis__for_____ two hours every day.

12. __In______ five years’time,I want to publish my own book.

Exercise B: Complete the sentences by choosing the right prepositions from the brackets.

1. I never drink coffee__after_____ breakfast.(in,after)

2. The manager left the room__during_____ the meeting to answer a phone call.(at,during)

3. Sarah is usually in a tearing hurry _in________ the mornings because she has to leave home very early.(in,on)

4. My friend has invited me to her birthday party _on_____Sunday.(on,at)

5. Tom is going to France___in____December meet his fiance’e.(in,at)

6. He was born__on_____ Christmas day.(on,in)

7. I lived in Greece__in_____ the 1990s.(in,at)

8. Tanya learned to drive a car__in____ four weeks!(in,at)

9. The children usually wake up__at_____8 o’clock on Sundays.(on,at)

10. __on_____ Saturday night we decided to go to a late night film.(at,on)

11. What did you do__on_____the weekend?(on,in)

12. John settled down to read a book___before____dinner since he had come home early.(before,on)

*************************************

Pronouns (page 83-88)

Pronouns  ( คำสรรพนาม )
Types (ชนิดของคำสรรพนาม)

Pronoun ( คำสรรพนาม )  คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง   หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร   คำสรรพนาม  (pronouns ) แยกออกเป็น  7 ชนิด คือ
  • Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม )  เช่น I, you, we, he , she ,it, they
  • Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
  • Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย  เช่น myself, yourself,ourselves
  • Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง )  เช่น  this, that, these, those, one, such, the same
  • Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น  all, some, any, somebody, something, someone
  • Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
  • Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น  who, which, that
1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม )  คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
บุรุษที่ 1ได้แก่ตัวผู้พูดI, we
บุรุษที่ 2ได้แก่ผู้ฟัง  you
บุรุษที่ 3ได้แก่ผู้ ที่พูดถึง สิ่งที่พูดถึง he, she. it , they
รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม
รูปประธาน 
รูปกรรม
Possessive Form
Reflexive Pronoun
Adjective
Pronoun
 I
 me
my
 mine
 myself
we
us
our
ours
ourselves
you
you
your
yours
yourself
he
him
his
his
himself
she
her
her
hers
herself
it
it
its
its
itself
they
them
their
theirs
themselves
เช่น
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.
ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้  ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I  ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส (  they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )
การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้
Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น
Please tell him what you want.   โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ  ( ตามหลังดำกริยา tell )
Mr. Wilson talked with him about the project.  
คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )
หมายเหตุ        ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่น
It was she who came here yesterday.
เธอคนนึ้ ที่มาเมื่อวานนี้  ( ใช้ she เพราะเป็นผู้กระทำ )
It was her whom you met at the party last night.
เธอคนนี้ที่คุณพบที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ (ใช้ her เพราะเป็นกรรมของ   you met )
2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ )  คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้
      mine,ours, yours, his, hers,its,theirs 
The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ
His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว
Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
Ours is the green one on the table . ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ
possessive pronouns มึความหมายเหมือน    possessive adjectives แต่หลักการใช้ต่างกัน
This is my book.
นี่คือหนังสือของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย book )
This book is mine
หนังสือนี้เป็นของฉัน (  mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun  ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ ( complement)  ของคำกริยา is )
3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun  ได้แก่
    myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself  มีหลักการใช้ดังนี้
  • ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น  ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น
    She herself doesn't think  she'll get the job.
    The film itself wasn't very good but I like the music.
    I spoke to Mr.Wilson himself.
  • วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง
    They blamed themselves for the accident.
    พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )
    You are not yourseltoday.
    วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
    I don't want you to pay for me. I'll pay for myself
    ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
    Julia had a great holiday. She enjoyed herself very much.
    จูเลียมีวันหยุดที่ดี เธอสนุกมาก
    George cut himself while he was shaving this morning.
    จอร์จทำมีดบาดตัวเองขณะทีโกนหนวดเมื่อเช้านี้
หมายเหตุ  ปกติ จะใช้  wash/shave/dress โดยไม่มี myself
  • เมื่อต้องการจะเน้นว่า ประธานเป็นผู้ทำกิจกรรมนั้นเอง
    Who repaired your bicycle for you? Nobody, I repaired it myself.ใครซ่อมรถจักรยานให้คุณ. ไม่มีใครทำให้ฉันซ่อมเอง
    I'm not going to do it for you. You can do it yourself.
    ฉันจะไม่ทำ( อะไรสักอย่างที่รู้กันอยู่ ) ให้นะ คุณต้องทำเอง
    By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน  on my own  เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้
    on ( my/your/his/ her/ its/our/their own     มีความหมายเหมือนกับ
    by ( myself/yourself ( singular) /himself/ herself/ itself/ ourselves/ yourselves(plural)/ themselves )
    เช่น 
    I like living on my own/by myself. ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่คนเ้ดียว
    Did you go on holiday on your own/by yourself? เธอไปเที่ยววันหยุดคนเดียวหรือเปล่า
    Learner drivers are not  allowed to drive on their own/ by themselves.
    ผู้ที่เรียนขับรถไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถด้วยตัวเองคนเดียว
    Jack was sitting on his own/by himself in a corner of the cafe.
    แจ๊คนั่งอยู่คนเดียวทีีมุมห้องในคาเฟ
4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns  คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
 this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
That is incredible!    นั่นเหลือเชื่อจริงๆ  (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this.   ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)
Such is my belief.  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter.
  เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)
5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น
everyoneeverybodyeverythingsomeeach
someonesomebodyallanymany
anyoneanybodyanythingeitherneither
no onenobodynothingnoneone
moremostenoughfewfewer
littleseveralmoremuchless
Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง
One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน
Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา
Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก
We, you, they ซึ่งปกติเป็น personal pronoun จะนำมาใช้เป็น indefinite pronoun เมื่อไม่เจาะจง  โดยมากใช้ในคำบรรยาย คำปราศัย เช่น
We should prepare ourselves to deal with any emergency. เรา ( โดยทั่วไป) ควรจะเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)
You sometimes don't know what to say in such a situation. บางครั้งพวกคุณก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น.
6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม )  เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่  Who, Whom, What, Which  และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever   เช่น
Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
What did she say?  เธอพูดว่าอะไรนะ? (  what เป็นกรรมของกริยา say )
Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน )
Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )
หมายเหตุ   which และ  what  สามารถใช้เป็น  interrogative adjective   และ who, whom , which  สามารถใช้เป็น relative pronoun  ได้
7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า   และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน   เช่นคำต่อไปนี้  who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever
Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller
He's the man whose car was stolen last week.
She will tell you what you need to know.
The coach will select whomever he pleases.
Whoever cross this line will win the race.
You may eat whatever you  like at this restaurant.


Exercise A: Complete the sentences using the right pronoun.

1.  The Nile is a river in Africa.  It is the longest river in the world.
2.  I hurt myself while playing tennis yesterday.
3.  Lewis Carroll was writer.  He wrote Alice in Wonderland.
4.  The Eiffel Tower is in Paris.  It is the tallest building in Paris.
5.  At George's birthday party, his friends gifted him a book.
6.  Lynn is a shy girl.  She never talks about herself.
7.  Is this pen yours?
8.  When ill, you must take good care of yourself.
9.  Fred and Nick have had a quarrel.  But they must sort it out between themselves.
10.  The tourists asked the policeman where they could find a good restaurant.
11.  The Merino sheep is famous for its soft wool.
12.  Harry asked Sam if he could help him.
13.  Gina found herself very tired at the end of the day.
14.  Walt Disney was a filmmaker who created Mickey Mouse.

******************
Exercise A: Complete the sentences using demonstrative pronouns. (page 86-87)

1.  That dish isn't very good but this one tastes very nice!
2.  Look at those necklaces on that shelf. Aren't they lovely?
3.  Do you like these fruits? I bought them just for you.
4.  What is the answer to these questions?
5.  This cake looks delicious! Where did you buy it from?
6.  I like that shirt you are wearing.

Exercise B: Complete the sentences using distributive pronouns.

1.  Either Joseph or Peter can show you the way.
2.  Neither answer is correct.
3.  Each of you must sing a song.
4.  None of the solutions is right.  Do the sum again.
5.  Several people were invited but none attended.
6.  Neither of them can complete the work today.

Exercise C: Complete the sentences using relative pronouns.

1.  I would like to live in a town that is clean and noise-free.
2.  I am reading a book which I borrowed from the library.
3.  The flowers which are growing in your garden are very pretty.
4.  Who is the man that spoke to you just now?
5.  I have a friend who can perform magic tricks.
6.  Do you remember the name of the actress who won an Oscar this year?
7.  This is the girl who had an accident.
8.  Last week I saw a building which was really old.
9.  She likes curries that are really hot!
10.  The book which you gave me is very interesting!

Exercise D: Combine the sentences using relative pronouns.

1.Jane is a lazy girl who likes to sleep all the time.
2.  My cousin lives in Singapore where is thousands of miles away.
3.  The black car which is behind us looks great.
4.  The bird which must be an eagle is flying over the trees.
5.  My father who will come home for the holidays is in the army.
6.  This is the book which I was telling about.

Antecedents (page 88)

Agreement of Pronoun and Antecedent คือ การใช้ความสอดคล้องระหว่างสรรพนามกับประธานที่มาข้างหน้า จะต้องให้มีพจน์ (number) บุรุษ (person) และเพศ (gender) เดียวกับตัวที่มาข้องหน้า มีหลักเกณฑ์การใช้ดังนี้
1.one แปลว่า คนเรา คำที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronoun) ของ one คือ one’s ไม่ใช่ his หรือ her เช่น
One must do one’s duty.  คนเราจะต้องทำตามหน้าที่ของตน
(อย่าใช้ : One must do his (or her) duty.)
One ought to be responsible for what one says.  คนเราควรจะมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองพูด
(อย่าใช้ : One ought to be responsible for what he (หรือ she) says.

2.คำ someone, somebody, everyone, everybody, each, either, neither, every, anyone, no one เมื่อคำเหล่านี้จำเป็นที่ต้องใช้สรรพนาม (Pronoun) แทน ให้ใช้ดังนี้
- ใช้ he หรือ she เมื่อเป็นประธาน
-  ใช้ him หรือ her เมื่อเป็นกรรม
-  ใช้ his, her, หรือ hers เมื่อเป็นเจ้าของ เช่น
Everybody says he will do this best.  ทุกๆคนพูดว่า เขาจะทำให้ดีที่สุด
(อย่าใช้ : Everybody says they will do their best.)
Anyone can make his choice now.  ใครก็ตามสามารถเลือกเอาของตัวเองได้แล้วเดี๋ยวนี้
(อย่าใช้ : Anyone can make their choice now.)
If anyone knows the truth, let him tell it.  ถ้าใครรู้ความจริง ก็ให้เขาพูดมา
(อย่าใช้ : ….., let them tell it.)
No one carries his own pack outside.  ไม่มีใครถือเอาห่อของเขาออกไปข้างนอก
(อย่าใช้ : No one caries their own pack outside.)

Exercise A: Underline the antecedent in each sentence.
 1.  Sally was struggling with her homework.
2.  Sally asked her brother Mark to help her.
3.  Mark said he was busy.
4.  Mark agreed to help Sally after he completed his work.
5.  Sally could not complete her homework before dinner.

Exercise B: Complete the sentence by choosing the correct antecedent.

1.  Jane doesn't drive her car to work often.
2.  Every student must submit his essay tomorrow.
3.  Each person reaps the fruit of his labour.
4.  The leaves look like they have been burnt.
5.  The tourists can leave their bags in the cloakroom.
**********************************************************